“การฝึกทำสมาธิ” ทำไมจึงเป็นเรื่องจำเป็นและเป็นเรื่องสำคัญที่มนุษย์เราควรจะได้รับการเรียนรู้ฝึกฝนอย่างถูกต้อง เพื่อควบคู่ไปกับการใช้ชีวิตประจำวันที่เราจะยังเป็นนักภาวนา และฝึกทำสมาธิ ไปพร้อม ๆ กับการใช้ชีวิตปกติ  เราคงจะเคยได้ยินคำว่า “กฎแห่งแรงดึงดูด” หรือ “การคิดบวก” ในชีวิตประจำวัน และสถานการณ์ปัจจุบันที่โลกเรา หรือชีวิตคนเรามักมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันสามารถเกิดขึ้นกับเราได้ตลอดเวลา ไม่ว่าการจะเป็นการใช้ชีวิตในสังคม เพื่อน ที่ทำงาน หรือครอบครัว การออกไปเผชิญสภาวะแวดล้อมนอกบ้าน สภาวะเหตุการณ์ต่าง ๆ รอบตัวที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยความรวดเร็วเหล่านี้ มักจะส่งผลให้เรานั้น ขาดการมีสมาธิ และสติ ที่จะดำเนินการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งมีผลกระทบกับสังคมปัจจุบันเป็นอย่างมาก

มาทำความเข้าใจในการฝึกทำสมาธิ และการเป็นนักภาวนาที่ถูกต้องกัน

หลาย ๆ คนนั้น อาจจะไม่เข้าใจว่า หากเราเป็นนักปฏิบัติและเคร่งครัดในการทำสมาธิ หรือเคร่งเครียดในการภาวนา เราอาจจะกลายเป็นผู้ที่สละทางโลกและจะเข้าสู่กระบวนการทางศาสนา จนกระทั่งเราอาจจะกลายเป็นนักบวชในที่สุด และในบางคนอาจมีความคิด ความวิตกกังวลในการที่เราจะละทิ้ง ความคิด และความรู้สึกแบบคนทั่วไป จนอาจจะทำให้หลายสิ่งที่ค้างคาที่จะดำเนินชีวิตในปัจจุบันนั้น จะถูกล้มเลิกไป หากเราจะต้องเป็นผู้ปฏิบัติในการละทิ้งกิเลสจากการปฏิบัติสมาธิภาวนา และก็ยังคงมีอีกหลาย ๆ คนมักจะเข้าใจ หรือสงสัยว่า การที่เราจะปฏิบัติสมาธิ หรือการเจริญจิตภาวนานั้น อาจจะทำให้เรา ขาดความคิดความรู้สึกหรือการต้องถูกบังคับให้ตัดขาดความรู้สึก แบบมนุษยชนคนปกติ จนกระทั่งตัวเรานั้น อาจจะเป็นผู้ที่ไม่พร้อมที่จะปฏิบัติ หรือการทำสมาธิ จึงทำให้คนส่วนใหญ่ไม่สนใจ และล้มเลิกในการทำสมาธิเพราะไม่เข้าใจที่จะนั่งทำสมาธิเจริญสติและภาวนาได้อย่างถูกวิธี แต่เหตุผลที่เราควรจะฝึกฝน และให้ความสำคัญ เราจะแบ่งเป็น 2 หัวข้อ  เพื่อให้เราทำความเข้าใจขั้นตอนและข้อดีของการฝึกฝนการทำสมาธิ และการเป็นนักภาวนาในเชิงวิทยาศาสตร์ ที่เหล่านักวิทยาศาสตร์หลายท่านก็ให้ความสนใจกับการนั่งสมาธิ

  1. การฝึกฝนทำสมาธิ

การเริ่มต้นการฝึกทำสมาธินั้น อย่างแรกคือ ให้เราสวมใส่เสื้อผ้าที่สบายตัว ไม่อึดอัดรัดแน่นจนเกินไป และการเลือกใช้เสื้อผ้าโทนสีขาวจะช่วยทำให้สมองของเรารู้สึกสะอาด สงบนิ่งมากยิ่งขึ้น จากนั้นเลือกนั่งขัดตะหมาดในท่าที่เราถนัด และเริ่มทำการหลับตา ผ่อนคลายร่างกายทุกส่วนของตนเอง สูดลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ตัดความคิดและความวิตกกังวลที่เกิดขึ้นให้หมดในขณะที่เรากำลังหลับตา และให้เราสงบนิ่งไม่หวั่นไหวต่อความคิดที่เข้ามากระทบในระหว่างการทำสมาธิ หากร่างกายเรามีปฏิกิริยาแสดงอาการเจ็บปวดหรือสิ่งใด ๆ เกิดขึ้น ให้เราผ่อนคลายบริเวณที่เรารู้สึกนั้น ทำแบบนั้นกับอาการที่เกิดขึ้นในความรู้สึกอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งสมาธิของเราเริ่มสงบนิ่ง เราจะรู้สึกสบายและผ่อนคลาย  การนั่งสมาธิจะสามารถทำให้จิตใจของเราเพิ่มความสงบ และผ่อนคลายเพิ่มมากยิ่งขึ้นสมองเราจะสามารถเพิ่มสมาธิได้อย่างรวดเร็วขึ้นอีกด้วย  การทำสมาธิจะทำโดยวิธีการนั่งขัดสมาด และหลับตาเพียงอย่างเดียวเท่านั้นในการฝึกฝน

  1. การฝึกภาวนา

การฝึกภาวนานั้น จะมีวิธีการที่คล้ายคลึงกับการนั่งสมาธิ คือ การควบคุมลมหายใจและควบคุมสติให้ทันกับเหตุการณ์ปัจจุบัน แต่การนั่งสมาธินั้น ผู้ฝึกฝนจะต้องปฏิบัติโดยเน้นแค่ท่านั่งขัดสมาดหลับตาเพียงอย่างเดียว แต่การภาวนานั้นคือการที่เราสามารถทำสมาธิในทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะเป็นการกิน เดิน นอน หรือนั่ง เราสามารถที่จะควบคุมกำหนดลมหายใจของเราได้ทุกอิริยาบถ  วิธีการเหล่านี้จะสามารถทำให้จิตใจของเราเพิ่มความสงบ และผ่อนคลายเพิ่มมากขึ้น สมองเราก็จะสามารถเพิ่มสมาธิได้เร็วขึ้น แบบเดียวกับที่เรานั่งสมาธิหลับตาโดยการนั่งขัดสมาด  หากเราฝึกตนจนเกิดความชำนาญเราจะสามารถภาวนาได้ทุกอิริยาบถ ควบคู่ไปกับการใช้ชีวิตประจำวันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น และการภาวนานี้ยังรวมไปถึงการที่เราสามารถประคองสติ ในระหว่างที่เราจะสวดมนต์อ่านหนังสือ และทำหลาย ๆ สิ่งไปพร้อม ๆ กัน การฝึกภาวนาจึงไม่ได้เน้นที่การนั่งสมาธิและหลับตาหรือควบคุมลมหายใจของตนเพียงอย่างเดียว แต่สามารถปฏิบัติกำหนดลมหายใจทำสมาธิไปพร้อมกับการใช้ชีวิตประจำวันของเราได้พร้อม ๆ กัน

ประโยชน์และข้อดีของการฝึกฝนการทำสมาธิ และการฝึกเป็นนักภาวนา

ในสถานการณ์ปัจจุบัน สังคมเทคโนโลยี หรือโซเชียลมีเดีย  ได้เข้ามามีบทบาทและกระตุ้นให้คนเราเกิดสภาวะอารมณ์หลากหลาย สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนั้น  ในยุคนี้มนุษย์เรารับข้อมูลข่าวสารหลากหลายช่องทาง มีทั้งข้อความที่เป็นจริงและข้อความที่เป็นเท็จมากมาย และยากที่จะพิสูจน์  จึงทำให้สภาพจิตใจของผู้คนที่รับข้อมูลข่าวสารนั้น จึงเกิดความสับสนได้ง่ายขึ้น  ข่าวสารในเชิงลบ หรือการใช้ชีวิตอยู่ในสังคม ปัจจัยความเครียดที่เกิดขึ้นรอบ ๆ ตัว สภาวะเศรษฐกิจ หลายหลายปัจจัยเหล่านี้นั้น คือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นรอบตัวเราตลอดเวลา  และอะไรคือข้อดีในการทำสมาธิ ที่จะส่งผลดีกับเราอย่างไรบ้าง

ข้อดีของการทำสมาธิและการภาวนา จะทำให้ร่างกายของเรานั้นได้  หลั่งสารเคมีทางสมอง หรือเซโรโทนิน (Serotonin) จะช่วยทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย นอนหลับง่ายขึ้น ไม่เกิดสภาวะซึมเศร้า ทำให้จิตใจสงบลง อัตราการเต้นของหัวใจลดลง ความดันโลหิตลดลง ลดความเครียด ระบบการเผาผลาญอาหารในร่างกายดีขึ้น แก่ช้าลง และอายุยืนขึ้น และยังสามารถช่วยเพิ่มเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น เพราะ เกิดจากสภาวะจิต และสมองของของเราที่สงบ สบาย ผ่อนคลายมากขึ้น และยังสามารถช่วยให้เราเปลี่ยนอารมณ์ควบคุมอารมณ์ ความคิด เปลี่ยนชีวิต ของเรา ช่วยให้เราโฟกัสในสิ่งที่ทำและยังเพิ่มความจำดีขึ้น การทำสมาธิจึงเป็นวิธีการที่นักวิทยาศาสตร์ทางสมองใช้กันอยู่แทนการกินยาลดความกังวล ยาต้านโรคซึมเศร้า มีสภาพจิตใจที่ดีและมีความสงบใจเย็นการคิดการตัดสินใจ และมีสติในการใช้ชีวิตที่ได้ผลจริงและมีประสิทธิภาพดีที่สุด นี่จึงเป็นข้อดีส่วนใหญ่ในการที่คนเราควรจะฝึกสมาธิ และการเป็นนักภาวนา  เพื่อใช้ชีวิตควบคู่ไปกับโลกปัจจุบันที่กำลังถูกพัฒนาไปพร้อมกับความเจริญทางเทคโนโลยีได้อย่างมีสติ ผลก็จะมาจากการที่เราได้ฝึกทำสมาธิหรือได้ปฏิบัติภาวนาบ่อย ๆ นั่นเอง

Recommended Posts

Leave a Comment