น้อง ๆ ที่กำลังจบ ม.6 หรือกำลังมองหาคณะที่อยากเรียนต่อ ถ้าเราเป็นคนที่สนใจด้านประวัติศาสตร์ วรรณกรรม วัฒนธรรม ภาษา ปรัชญา ภาพยนตร์ หรือสื่อสารมวลชน ถ้าสนใจแทบทุกอย่างที่พูดมา ขอแนะนำให้รู้จักกับคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บอกเลยว่าเรียนคณะนี้ให้อะไรที่เกินคาดมาก ๆ ไม่ใช่แค่วิชาความรู้ แต่ยังได้รู้การมีมุมมองเปิดกว้างมากขึ้น มาลองดูเลยดีกว่าว่าคณะนี้จะเป็นยังไง สนุกแค่ไหน ไปเริ่มกันเลย!
คณะศิลปศาสตร์ เค้าเรียนอะไรกัน
ก่อนอื่นก็ขอแนะนำตัวก่อนเลย พี่จบจากคณะศิลปศาสตร์ เอกภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหิดลตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ก็ไม่นานมานี้เองเนอะรุ่นราวคราวเดียวกัน คณะเราจะมีทั้งหมด 2 เอก คือเอกไทย และเอกอังกฤษ ยังไม่พอเรายังมีวิชาโทที่ต้องเลือกเรียนคู่กับวิชาเอกไปจนจบ บอกเลยว่าชีวิตตั้งแต่ปี 1 จนถึงปี 4 มีทั้งรสชาติที่หอมหวานและขมขื่น เพื่อไม่ให้เสียเวลาเรามาเริ่มที่ปีแรกกันเลย
ชีวิตสนุก ๆ ของเฟรชชี่ปี 1
จากประสบการณ์ ปี 1 จะเป็นปีที่ได้เรียนหลายวิชาเพื่อปูพื้นฐาน และเป็นช่วงที่เราจะต้องค้นหาตัวเองว่าเราชอบเรียนอะไร อยากเรียนเจาะลึกไปทางไหน ซึ่งทั้ง 2 เอกก็จะได้เรียนรวมกันทั้งวิชาประวัติศาสตร์ วรรณกรรม ปรัชญา การสื่อสาร ฯลฯ เอกไทยก็จะได้เรียนเพิ่มในวิชาด้านภาษาไทย ส่วนเอกอังกฤษ หรือที่เรียกว่า เอกอิ้ง ก็จะได้เรียนเพิ่มในวิชาด้านภาษาอังกฤษ เป็นการปูพื้นฐานเพื่อไปต่อยอดในชั้นปีถัดไป แถมยังมีวิชา MUGE หรือ มูเก้ เป็นวิชาเรียนรวมที่จะได้ไปเจอกับเพื่อนคณะอื่นแบบทั้งมหาวิทยาลัย ไม่แน่ใจว่าเดี๋ยวนี้ยังมีสอนอยู่ไหม แต่เป็นวิชาที่สนุกมาก ๆ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมของคณะ และกิจกรรมมหาวิทยาลัยให้ทำเยอะมาก ได้ทำแทบทุกวันไม่มีว่างเว้น บอกเลยว่าปี 1 เป็นปีที่สนุกสุดเหวี่ยงที่สุดแล้ว
ทางแยกสำคัญในชั้นปีที่ 2
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่าคณะศิลปศาสตร์นอกจากจะมีวิชาเอกแล้ว เรายังมีวิชาโทด้วย นี่แหละเราจะได้เลือกเรียนกันตอนปี 2 วิชาโทในตอนนั้นมีให้เลือกก็คือวิชาโทภาษาไทย โทภาษาอังกฤษ โทภาษาญี่ปุ่น โทประวัติศาสตร์ โทการละคร และโทปรัชญา แต่ตอนนี้มีโทภาษาจีนมาเพิ่มแล้วนะ จริง ๆ ถ้าตอนนั้นมีโทภาษาจีนพี่ก็คงเลือกเรียนอันนี้ แต่น่าเสียดายที่ไม่มี พี่เลยเลือกเรียนโทภาษาอังกฤษ ซึ่งการเลือกเรียนวิชาโทเนี่ยสำคัญมาก เพราะเราต้องอยู่กับมันไปจนถึงปี 4 มีโอกาสสับเปลี่ยนโยกย้ายได้ภายในช่วงปี 2 ถ้าใครเปลี่ยนใจก็ต้องเรียนตามเพื่อนให้ทัน อาจจะหนักหน่อยเพราะวิชาโทที่นี่เรียนเจาะลึกไม่แพ้วิชาเอกเลย แต่ถ้าใครยังคิดว่าเรียนแค่นี้ยังไม่พออยากเรียนเพิ่ม ก็สามารถเลือกเรียนเพิ่มได้อีก 1-2 วิชา พี่เองก็เลือกเรียนวิชาภาษาจีน แต่ก็นะต้องบริหารจัดการให้ดีเพราะวิชาบังคับก็เยอะอยู่เหมือนกัน ดังนั้นถ้ามั่นใจว่าเอาอยู่ก็ลงเพิ่มได้เลย
ปี 3 อิสระที่ต้องแย่งชิง
อิสระทำไมต้องแย่งชิง ก็เพราะปี 3 เราสามารถเลือกวิชาที่สนใจได้เองแล้ว เย่! แต่เดี๋ยวก่อน กว่าจะได้ความอิสระนี้มาครอบครอง เราก็ต้องแย่งชิงกับเหล่านักรบอีกนับร้อย เพราะที่นั่งในคลาสเรียนแต่ละวิชามีจำนวนจำกัด ส่วนมากจะอยู่ที่ 15 คนเท่านั้น! เพราะชีวิตคือการต่อสู้จริง ๆ แล้ววิชาที่ให้เลือกเรียนก็มีเยอะมาก นอกจากวิชาในคณะศิลปศาสตร์แล้วเรายังสามารถไปเรียนวิชาของคณะอื่นได้ด้วยนะ แต่ก็อย่าลืมว่าเราต้องเก็บหน่วยกิตของคณะตัวเองให้ครบก่อนจบปี 4 ด้วยนะ เพราะฉะนั้นนอกจากอิสระในการเลือกเรียนแล้ว การบริหารจัดการตารางเรียนของตัวเองก็สำคัญไม่แพ้กัน
นักศึกษาปี 4 นักรบล่องหน
นักศึกษาปี 4 มักจะเป็นนักรบล่องหนกัน เพราะไม่ค่อยได้เจอใครเลยแม้แต่เพื่อนในคณะ ทำไมอย่างงั้นล่ะ? ก็เพราะต่างคนต่างต้องไปสู้รบกับโปรเจกต์ของตัวเอง และโปรเจกต์ที่โหดหินที่สุดที่ยังจำได้มาจนถึงทุกวันนี้ นั่นก็คือวิชาสัมมนา พูดถึงแล้วยังขนลุกไม่หาย วิชานี้เราจะได้เอาความรู้ที่ได้เรียนตั้งแต่ปี 1 นำมาบูรณาการใช้งานให้เกิดประโยชน์ อาจารย์วิชานี้ละเอียดมาก ตรวจทุกตัวอักษร ถ้าเอากล้องจุลทรรศน์มาส่องได้คงทำไปแล้วล่ะ แต่ไม่ต้องกังวลไปนะ ถ้าเรามีเป้าหมายและจุดประสงค์การทำที่ชัดเจน บอกเลยว่าเราจะผ่านมันไปได้แน่นอน เพื่อน ๆ ในกลุ่มจะกอดคอสู้ไปกับเรา เหมือนกับเหล่านักรบผู้ยิ่งใหญ่ที่รบชนะสงคราม และมีมีด 10 เล่มปักอยู่ที่อกแค่นั้นเอง
ชีวิตหลังจบคณะศิลปศาสตร์
จบมาแล้วทำงานอะไรได้บ้าง บอกได้เลยว่ากว้างมาก จากที่เห็นรุ่นพี่และเพื่อน ๆ ก็มีคนที่จบไปได้ทำงานเป็นครู แอร์โฮสเตส นักข่าว นักแปล นักเขียน ทำงานบริษัท ทำงานสถานทูต ทำงานโรงแรม ธุรกิจส่วนตัว ยูทูบเบอร์ ฟรีแลนซ์ หลากหลายอาชีพมาก เพราะสิ่งที่เราเรียนมันสามารถปรับใช้ได้กับแทบทุกอาชีพเลย บางคนก็เรียนปริญญาโทในด้านที่สนใจต่อเลย สุดยอดมาก
สำหรับพี่คณะศิลปศาสตร์ให้มากกว่าความรู้ในหลักสูตร เพราะอาจารย์ได้เปิดโลกให้เห็นอะไรหลายอย่าง ฝึกให้เราได้ตกตะกอนความคิด มองเห็นคุณค่าในตัวเอง มีแนวคิดและมุมมองที่เปิดกว้าง ทำตัวเหมือนน้ำที่ไม่เต็มแก้ว พร้อมที่จะรับสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิตเสมอ และพร้อมที่จะเรียนรู้พัฒนาตัวเองไปไม่มีที่สิ้นสุด มากกว่าการเรียนพี่รู้สึกว่าประสบการณ์ชีวิตที่ได้มามีค่ามาก ๆ ได้ร่วมทุกข์สุขไปกับเพื่อน รู้สึกได้เลยว่าเราเติบโตขึ้นทุกปีทั้งมุมมองและความคิด ดังนั้นถ้าน้อง ๆ ได้เรียนที่นี่พยายามกอบโกยทั้งความรู้และประสบการณ์ที่ดีให้ได้มากที่สุด เพราะสิ่งที่เราได้มามันจะเป็นประโยชน์มากในชีวิตหลังจากนี้ไป ถ้าคิดว่าคณะนี้ใช่ ขอให้ตั้งใจและทำตามฝันให้เป็นจริง เป็นกำลังใจให้ทุกคนเลยนะ สู้ ๆ!