Amazon เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการตลาดออนไลน์ เป็นแพลตฟอร์มที่ให้คนทั่วไปอย่างเราสร้างร้านค้าออนไลน์เป็นของตัวเองได้ โดยไม่ต้องเสียเงินสักบาท แต่การพัฒนายังไม่หยุดเพียงเท่านี้ Amazon ได้สร้างรถเข็นคิดเงินอัตโนมัติ ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่กำลังถูกทดลองใช้งานภายในห้างสรรพสินค้าของ Amazon ในปี 2020 นี้
รถเข็นคิดเงินอัตโนมัติของ Amazon มีลักษณะอย่างไร ทำอะไรได้บ้าง
ลักษณะของมันเป็นรถเข็นขนาดเล็ก ตัวตะกร้าเป็นสีเขียว ด้ามจับรวมถึงโครงสร้างส่วนอื่นเป็นสีดำทึบ มีหน้าจอสัมผัสเพื่อดูราคาและตัวสินค้าในตะกร้า โดยติดอยู่กับฝั่งด้ามจับ แน่นอนว่าทาง Amazon เขาได้ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย สะดวก กะทัดรัด แต่ในตอนนี้ ตัวรถเข็นคิดเงินอัตโนมัติเหมาะกับการซื้อสินค้าจำนวนน้อยชิ้นมากกว่าการซื้อจำนวนเยอะ หรือพอซื้อขนมห่อเล็ก ๆ น้อย
ในด้านการใช้งานก็สุดง่าย โดยรถเข็นคิดเงินอัตโนมัติจะคิดราคาสินค้าจากระบบเซ็นเซอร์ในรถเข็น และมีตัวชั่งน้ำหนักเพื่อตรวจสอบชนิดสินค้าอีกชั้นหนึ่ง ที่สำคัญ หน้าจอสัมผัสจะคอยแสดงผลตลอดเวลา เพื่อให้เราเห็นสินค้าที่เลือกหยิบใส่ตะกร้าไป เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องความแม่นยำในการตรวจสอบราคาสินค้าเลย
อีกเรื่องคือการชำระราคาสินค้า ซึ่งคอนเซปต์ของ Amazon คือ Just walk out (แค่เดินออกไป) นั่นหมายความว่า เราเลือกสินค้าที่ต้องการหยิบลงใส่ตะกร้ารถเข็นเรียบร้อยแล้ว คุณสามารถเดินออกจากห้างพร้อมรถเข็นได้เลย หลังจากนั้นระบบจะหักเงินผ่านการแสกนคิวอาร์โค้ดในตอนแรกก่อนเข้าใช้งานรถเข็น โดยหักในบัญชี Amazon ที่คุณได้สมัครไว้ ข้อดีที่เห็นชัดคือ ไม่ต้องต่อแถวยาวเหยียดรอพนักงานแคชเชียร์อีกต่อไป
ถ้าไม่ใช่ห้างสรรพสินค้าของ Amazon เราจะมีโอกาสได้ใช้รถเข็นคิดเงินอัตโนมัติไหม
เป็นคำถามคาใจสำหรับใครหลาย ๆ คน ซึ่งแน่นอนว่าทาง Amazon ไม่เคยคิดที่จะหยุดพัฒนาเพียงเท่านี้แน่นอน เพราะก่อนหน้านี้ Amazon มีนวัตกรรมที่คล้ายกับเจ้ารถเข็นคิดเงินอัตโนมัติ โดยคงคอนเซปท์เดิม คือ Just walk out (แค่เดินออกไป) คือการเดินไปหยิบสินค้าตามชั้นวางของ แล้วระบบเซ็นเซอร์ที่ทำงานร่วมกับกล้องวงจรปิดจะคอยตรวจสอบสินค้าที่เหล่าลูกค้าหยิบไป รวมถึงคิดราคาสินค้ารวมในทันที เมื่อลูกค้าเดินออกจากห้างสรรพสินค้าระบบก็จะตัดเงินในบัญชีเองอัตโนมัติ ซึ่งเทคโนโลยีนี้เองเป็นแรงบันดาลใจ ส่งผลให้ทาง Amazon ได้ตัดสินใจสร้างรถเข็นตัวนี้ขึ้นมานั่นเอง
โอกาสของประเทศไทยในการใช้รถเข็นเงินอัตโนมัติมีมากเพียงใด คำตอบคือร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่คงไม่ใช่ภายในหนึ่งปีหรือสองปีนี้แน่นอน ประเทศไทยคงต้องค่อย ๆ พัฒนาตามไปเรื่อย ๆ หรือเฝ้ารอจนเทคโนโลยีนี้พัฒนาเสร็จสมบูรณ์เสียก่อน ถึงเวลานั้นเราอาจจะได้เห็นที่ประเทศไทยเป็นได้
สำหรับเทคโนโลยีนี้ถือเป็นอีกก้าวสำคัญสำหรับวงการช้อปปิ้งทั่วโลก ผลดี คือ สะดวก รวดเร็ว จับจ่ายใช้สอยง่าย แต่ถ้ารถเข็นตัวนี้เข้ามีบทบาทมากขึ้นนั้นหมายถึง จำนวนพนักงานก็จะลดลงตามจำนวนรถเข็นที่เพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้น เราควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับเทคโนโลยีกันให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถรู้ทันและปรับตัวตามทันโลกได้นั่นเอง