Into the wild ภาพยนตร์ที่สร้างและฉายในโรงหนังปี 2007 ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม และยังคงเป็นเรื่องโปรดของใครหลายคน มาจนถึงทุกวันนี้ ดูซ้ำหลายครั้งได้ไม่มีเบื่อ เพราะเป็นเรื่องราวที่สร้างจากเรื่องจริงของชีวิตชายหนุ่มอเมริกันผู้มีความคิดต่างจากกระแสหลัก และตัดสินใจใช้ชีวิตสุดโต่งจนต้องแลกอิสรภาพไร้ขีดจำกัดนั้นด้วยชีวิต ทิ้งลมหายใจสุดท้ายอย่างเดียวดายในป่าใหญ่ แต่ในความ “เกินไป” นี้กลับให้แง่คิดมากมายแก่ผู้ชม
พล็อตเรื่อง Into the wild
Into the wild เปิดเรื่องด้วยการ “ลาออก” จากครอบครัวและสังคมของหนุ่มคริสโตเฟอร์ หลังจากจบระดับอุดมศึกษาด้วยคะแนนเกียรตินิยม เขาหันหลังให้ชีวิตปกติ ซึ่งต้องไต่เต้าอยู่กรอบที่สังคมทุนนิยมวางไว้ แล้วเลือกออกเดินทาง ส่วนหนึ่งมาจากเบื้องหลังของปัญหาสะสมมาจากพ่อและแม่ตั้งแต่วัยเด็ก เมื่อได้ออกท่องโลกกว้าง เขาเดินทางไปทั่วอเมริกา ด้วยหลากหลายวิธี ทั้งขับรถ โบกรถ พายเรือคายัค แอบโดยสารรถไฟ เขาได้พบกับผู้คนมากมายที่มีรูปแบบชีวิตแตกต่างและน่าสนใจ ไม่มีที่ใดที่เขาอยู่ยาวนานเกินสองเดือน แต่เมื่อร่อนเร่ดั้นด้นขึ้นทางเหนือจนถึงอลาสกา เขาเดินเท้าเข้าป่าจนได้เจอรถบัสเก่าสีเขียวหม่นหมายเลข 142 ถูกทิ้งร้าง จึงอาศัยอยู่ในรถคันนั้น เขาแยกตัวเองโดดเดี่ยวไม่เจอมนุษย์คนใดเลย เรียกว่าเป็น Into the wild โดยแท้ ยิ่งเวลาผ่านไป ธรรมชาติไม่ได้งดงามและมอบแต่สิ่งที่เขาคาดหวังเท่านั้น ผ่านไปกว่าสี่เดือน เขาค้นพบในที่สุดว่าตนเองต้องการกลับออกไปสู่โลกภายนอก แต่ไม่สามารถข้ามแม่น้ำซึ่งในช่วงหน้าร้อนนั้นน้ำไหลเชี่ยวกรากรุนแรง ต่างจากช่วงหน้าหนาวที่เขาเดินทางไปถึง เรี่ยวแรงร่างกายถดถอยลงไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดอ่อนแอเกินกว่าจะทนทานได้ หนึ่งในประโยคสุดท้ายที่เขาเขียนลงไปในไดอารี่ก่อนจะเสียชีวิต คือ “ความสุขจะเป็นจริงได้ ก็ต่อเมื่อได้แบ่งปันมันร่วมกับผู้อื่น”
ดู Into the wild แล้วได้อะไรบ้าง
ขึ้นชื่อระดับนักแสดงในตำนานและผู้กำกับมือฉมังอย่างชอน เพนน์ แค่นี้ก็แทบจะการันตีความสนุกและคุณภาพของหนัง Into the wild แล้ว อรรถรสค่อนข้างครบ ทั้งการดำเนินเรื่องที่กระชับ สลับจังหวะจะโคนระหว่างบทสนนทนากับให้ภาพเล่าเรื่องในตัวมันเองได้อย่างลงตัว วิวทิวทัศน์สวย ๆ ตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอลาสกาที่สวยแปลกตา ชนิดแค่ได้ดูฉากในหนังก็คุ้มค่าแล้ว เพลงประกอบก็ได้เอ็ดดี้ เวดเดอร์ นักร้องนำวง Pearl Jam ซึ่งเอกลักษณ์เสียงทุ้มแหบแบบหลอน ๆ ช่างเข้ากันเสียจริงกับความเป็นภาพยนต์ดราม่าผจญภัยอย่าง Into the wild ที่สุด นี่จึงทำให้ทั้งตัวนักแสดง บทหนัง และเพลงประกอบได้รับรางวัลมากมายอย่างไม่น่าแปลกใจเลยแม้แต่น้อย
หากใครต้องการดูเพื่อซึมซับแง่คิดบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตแล้ว ภาพยนตร์ Into the wild สอดแทรกไว้ให้ได้คิดตามขณะรับชม และยังนำกลับมาคิดใคร่ครวญหรืออภิปรายกันต่อกับเพื่อนฝูงได้อีกด้วย ยกตัวอย่าง เช่น กรณีที่หนุ่มคริสโตเฟอร์มุ่งหน้าเข้าป่าอลาสกาจนนำไปสู่การจบชีวิตลงนั้น มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเขา ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา เป็นต้น
โดยรวมแล้ว Into the wild นั้นนำเสนอทั้งสาระและบันเทิงได้สอดประสานกันเป็นอย่างดี เรียกเสียงหัวเราะในบางจังหวะ บีบคั้นหัวใจในบางช่วง กระตุกต่อมน้ำตาได้ด้วย ครบรสจริง ๆ ถ้าจะต้องให้คะแนน ไม่เต็มสิบก็เกือบล่ะ